การครองราชย์ ของ สุลต่านอาเหม็ดที่ 1

พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุ 13 พรรษาใน ค.ศ. 1603 ภายหลังจากการสวรรคตของพระราชบิดา โดยที่ซาฟิเยห์ ซุลตัน พระราชอัยกี (ย่า) ผู้ทรงอิทธิพลของพระองค์ยังคงทรงพระชนม์อยู่ เคานต์อเล็กซานเดอร์แห่งมอนเตเนโกร หรือรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่ายะห์ยา (Yahya) ผู้อ้างตัวว่าเป็นพระปิตุลา (อา) ของพระองค์พยายามจะชิงบัลลังก์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จและในท้ายที่สุดก็เสียชีวิตลงที่เมืองโครตอร์ (Kotor) บริเวณริมชายฝั่งของประเทศมอนเตเนโกรปัจจุบัน สุลต่านอาเหม็ดทรงยุติประเพณีปลงพระชนม์พระราชอนุชาที่ทำสืบต่อกันมาในรัชกาลก่อน ๆ เมื่อขึ้นครองราชย์ และไม่ได้มีรับสั่งให้ประหารมุสตาฟา ผู้เป็นพระราชอนุชา หากแต่ทรงส่งมุสตาฟาให้ไปประทับ ณ พระราชวังเก่าในเมืองบาเยซิด (Bayezit) พร้อมกับซาฟิเยห์ ซุลตัน ผู้เป็นพระราชอัยกี การที่ทรงทำเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะตัวพระองค์เองยังทรงพระเยาว์และไม่มีพระราชโอรส มุสตาฟาจึงทรงเป็นรัชทายาทเพียงพระองค์เดียวของราชบัลลังก์ออตโตมัน การมีรับสั่งให้ประหารพระราชอนุชาของพระองค์เองจะทำให้เกิดวิกฤติการสืบราชสันตติวงศ์ได้ ดังนั้นมุสตาฟาจึงได้รับการละเว้น[2]

ในช่วงแรกของการครองราชย์ สุลต่านอาเหม็ดที่ 1 ทรงมีท่าที่แน่วแน่และมุ่งมั่น ซึ่งต่อมาถูกหักล้างโดยพฤติกรรมของพระองค์เองในภายหลัง[ต้องการอ้างอิง] สงครามในฮังการี และเปอร์เซีย ซึ่งดำเนินควบคู่ไปกับการขึ้นครองราชย์ของพระองค์จบลงด้วยผลที่ไม่สู้ดีนัก เกียรติภูมิของจักรวรรดิยิ่งเสื่อมลงหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาซิสวาตูรุค (Treaty of Zsitvatorok) เมื่อ ค.ศ. 1606 ซึ่งยุติการเรียกเก็บบรรณาการรายปีจากออสเตรียของจักรวรรดิลง ภายหลังจากความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในสงครามกับจักรวรรดิซาฟาวิด ผู้เป็นอริ ซึ่งนำโดยพระเจ้าชาห์อับบาสมหาราช ทำให้จักรวรรดิออตโตมันต้องยกจอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน และดินแดนกว้างใหญ่อื่นในบริเวณเทือกเขาคอเคซัสที่ยึดมาได้ในสงครามออตโตมัน–ซาฟาวิด (ค.ศ. 1578–90) คืนให้แก่เปอร์เซีย ตามสนธิสัญญานาชู พาชา ใน ค.ศ. 1612 เส้นพรมแดนใหม่ถูกวาดขึ้นตามแบบพรมแดนในสนธิสัญญาสันติภาพอามัสยาที่ตกลงกันไว้เมื่อ ค.ศ. 1555[5]

สงครามออตโตมัน-ซาฟาวิด (ค.ศ. 1604–06)

สงครามออตโตมัน-ซาฟาวิด เริ่มขึ้นก่อนที่สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 3 พระราชบิดาของพระองค์จะเสด็จสวรรคตเล็กน้อย เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว สุลต่านอาเหม็ดที่ 1 ทรงแต่งตั้งซิกาลาซาด ยูซุฟ ซินัน พาชา (Cigalazade Yusuf Sinan Pasha) เป็นแม่ทัพคุมกองทัพตะวันออก กองทัพดังกล่าวออกเดินทางจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลในวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1604 ซึ่งถือว่าไม่ทันการณ์แล้ว และเมื่อกองทัพดังกล่าวเดินทางมาถึงแนวรบตะวันออกในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1604 กองทัพซาฟาวิด สามารถยึดเยเรวานได้ และทำการบุกเข้าไปในเอยาเลต์คารส์แล้ว การบุกของฝ่ายซาฟาวิดถูกหยุดลงได้ที่อาคัลท์ชิกเค ซินัน พาชาตัดสินใจตั้งทัพอยู่ในเมืองวานในฤดูหนาว แม้สภาพอากาศจะเอี้ออำนวย แต่ต่อมาก็ออกเดินทัพไปยังแอร์ซูรุม เพื่อหยุดยั้งการโจมตีของซาฟาวิดที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นภายในกองทัพ นับว่าปีนั้นเป็นปีที่ไม่ประสบความสำเร็จนักสำหรับฝ่ายออตโตมัน[6]

ใน ค.ศ. 1605 ซินัน พาชาออกเดินทัพโดยตั้งเป้าว่าจะเข้ายึดเมืองแทบรีซ แต่กองทัพก็เสียกระบวนเมื่อโกเซ เซเฟอร์ พาชา (Köse Sefer Pasha) เบย์เลอเบย์แห่งแอร์ซูรุม ตัดสินใจเดินทัพแยกต่างหากจากขบวนของซินัน พาชา ส่งผลให้ถูกฝ่ายซาฟาวิดจับเป็นเชลย กองทัพออตโตมันถูกตีแตกพ่ายที่อูร์เมีย และจำต้องล่าถอยไปยังเมืองวานและต่อมาไปที่ดียาร์เบกีร์ ขณะที่ตั้งทัพอยู่ที่ดียาร์เบกีร์นี้เอง ซินัน พาชาก็ก่อการกบฏขึ้นด้วยการสั่งประหารแคนบูลาทูกลู ฮูเซยิน พาชา (Canbulatoğlu Hüseyin Pasha) เบย์เลอเบย์แห่งอะเลปโป ผู้เดินทางมาเป็นกำลังเสริม ด้วยข้ออ้างว่าเขาเดินทางมาถึงช้าเกินไป ซินัน พาชาเสียชีวิตลงหลังจากนั้นไม่นาน และกองทัพซาฟาวิดก็สามารถเข้ายึดกันจา ชิวานและชาห์มากีในอาเซอร์ไบจานได้[6]

สงครามกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (ค.ศ. 1604–06)

สงครามสิบสามปี ระหว่างจักรวรรดิออตโตมันกับรัฐราชาธิปไตยฮาพส์บวร์ค ได้ดำเนินมาเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว ณ เวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ มหาเสนาบดีมัลคอก อะลี พาชา (Malkoç Ali Pasha) เคลื่อนทัพออกจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลไปยังแนวรบตะวันตกในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1604 เขาเดินทางไปถึงเบลเกรด แต่ต่อมาก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลงที่นั้น จึงทำให้โซคูลูซาดาซ ลาลา เมห์เหม็ด พาชา (Sokolluzade Lala Mehmed Pasha) ได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาเสนาบดีและแม่ทัพของกองทัพตะวันตกแทนที่มัลคอก ภายใต้การบังคับบัญชาของโซคูลูซาดาซ ลาลา เมห์เหม็ด พาชา กองทัพตะวันตกสามารถยึดแป็ชต์และวาค (Vác) กลับคืนมาได้ แต่ล้มเหลวในการยึดเอซเตอร์กอม เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยและมีการต่อต้านจากเหล่าทหารในกองทัพ การปิดล้อมเมืองจึงต้องยุติลง ในขณะเดียวกันอิชต์วาน บอซคาย เจ้าชายแห่งทรานซิลเวเนีย ผู้กำลังต่อสู้เพื่อประกาศเอกราชจากการปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค ซึ่งตัวพระองค์เคยให้การสนับสนุน ได้ส่งผู้เดินสาส์นมายังจักรวรรดิออตโตมันเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อได้รับคำมั่นแล้วว่าจะได้รับการช่วยเหลือ กองกำลังของพระองค์จึงเดินทางไปรวมกับกองทัพออตโตมันที่ตั้งทัพอยู่ในเบลเกรด ด้วยความช่วยเหลือจากฝ่ายทรานซิลเวเนีย กองทัพออตโตมันจึงสามารถเข้าปิดล้อมและยึดเมืองเอซเตอร์กอมได้ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1605 ฝ่ายเจ้าชายอิชต์วานเองก็สามารถยึดโนวีซามคี (Nové Zámky ภาษาตุรกีเรียกว่าอุรวาร์ [Uyvar]) ได้ด้วยความช่วยเหลือจากฝ่ายออตโตมัน ในขณะที่กองทัพภายใต้การนำของทรียาคี ฮะซัน พาชา (Tiryaki Hasan Pasha) สามารถยึดเวสปริม (Veszprém) และพาโลตา (Palota) ได้ ด้านซาร์ฮอร์ส อีบราฮิม พาชา (Sarhoş İbrahim Pasha) เบย์เลอเบย์แห่งนาซกอนิซา (Nagykanizsa ภาษาตรุกีเรียกคานิจี [Kanije]) ได้เข้าโจมตีภูมิภาคอิสเตรียของออสเตรีย[6]

พระสาทิสลักษณ์ของสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 ศิลปะจุลจิตรกรรมออตโตมัน

กระนั้น ด้วยความที่กบฏเซลารี (Celali rebellions) ในอนาโตเลียทวีความรุนแรงขึ้นยิ่งกว่าที่เป็นมา และการประสบความพ่ายแพ้ในแนวรบตะวันออก เมห์เหม็ด พาชาจึงถูกเรียกตัวมายังคอนสแตนติโนเปิล และเสียชีวิตลงในขณะที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปยังแนวรบตะวันออก คูยูคู มูรัด พาชา (Kuyucu Murad Pasha) จึงเป็นผู้ทำหน้าที่เจรจาในสนธิสัญญาซิสวาตูรุค ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยการยกเลิกการเก็บเงินบรรณาการจำนวน 30,000 ดูกัตจากออสเตรีย และการยอมรับว่าจักรพรรดิของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คมีสถานะเท่าเทียมกับสุลต่านออตโตมัน กบฏจาลารีถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝ่ายออตโตมันยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้ สนธิสัญญานี้นับเป็นตัวบ่งบอกว่าการขยายตัวของจักรวรรดิออตโตมันในยุโรปได้สิ้นสุดลงแล้ว[6]

กบฏเซลารี

ความไม่พอใจในผลลัพธ์ของสงครามกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค การจัดเก็บภาษีอย่างหนัก กอปรกับความอ่อนแอในการปราบปรามของกองทัพออตโตมัน ทำให้รัชสมัยของพระองค์กลายเป็นจุดสูงสุดของการกบฏเซลารี ทาวิลี อาเหม็ด (Tavil Ahmed [tr]) ก่อกบฏขึ้นไม่นานหลังจากสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ และสามารถเอาชนะนาชู พาชา และเคเดฮันห์ อะลี พาชา (Kecdehan Ali Pasha) เบย์เลอเบย์แห่งอนาโตเลีย ใน ค.ศ. 1605 ทาวิลี อาเหม็ด ได้รับการเสนอตำแหน่งเบย์เลอเบย์แห่งชาห์ริซอร์ แลกกับการยุติการกบฏ แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เข้ายึดฮาร์พุต เมห์เหม็ด บุตรชายของเขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการแบกแดด ด้วยการปลอมแปลงฟิมาน (พระราชโองการ) และสามารถเอาชนะกองกำลังที่นาชู พาชาส่งมาเพื่อปราบปรามเขาได้[6]

ในขณะเดียวกัน แคนบูลาทูกลู อะลี พาชา ได้ทำการรวมกำลังกับเอมีร์มานุกกลู ฟารุดดิน (Ma'noğlu Fahreddin) แห่งลัทธิดรูเซ (Druze) เพื่อทำลายกองกำลังของเซฟุกกลู ยูซุฟ (Seyfoğlu Yusuf) เอมีร์แห่งตริโปลี ต่อมาอะลีได้เข้ายึดครองบริเวณอาดานา พร้อมตั้งกองทัพและออกเหรียญกษาปณ์ของตนเอง กองกำลังของเขาสามารถตีกองทัพของฮูเซยิน พาชา เบย์เลอเบย์แห่งอะเลปโปที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งแตกพ่ายไปได้ ส่งผลให้มหาเสนาบดีบอสเนียก เดอร์วิช พาชา (Boşnak Dervish Mehmed Pasha) ถูกประหารชีวิตจากความอ่อนแอของเขาในการปราบปรามพวกเซลารี คูยูคู มูรัด พาชา ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นมหาเสนาบดีต่อจากเขาสามารถปราบปรามกองทัพกบฏจำนวน 30,000 นายในซีเรียลงได้ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1607 ด้วยความยากลำบาก แต่ก็ได้ผลเด็ดขาด ขณะเดียวกัน เขาก็ทำทีให้อภัยพวกกบฏในอนาโตเลีย และทำการแต่งตั้งคาเลนเดโรกลู (Kalenderoğlu) ผู้นำการกบฏในบริเวณมานิสสาและบูร์ซา เป็นซันจักเบย์แห่งอังการา แบกแดดก็ถูกยึดคืนมาได้ใน ค.ศ. 1607 เช่นกัน แคนบูลาทูกลู อะลี พาชา ได้หลบหนีไปยังคอนสแตนติโนเปิลและขอพระราชทานอภัยโทษจากสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 พระองค์ทรงแต่งตั้งเขาไปปกครองตีมีชวารา และต่อมาไปปกครองเบลเกรด แต่ภายหลังเขาก็ถูกประหารโดยมีสาเหตุจากการปกครองที่ผิดพลาดของเขา ณ ที่นั้น ขณะเดียวกัน คาเลนเดโรกลูก็ไม่สามารถเดินทางเข้าเมืองอังการาได้เพราะชาวเมืองไม่ยินยอม เขาจึงก่อกบฏขึ้นอีกครั้ง ซึ่งถูกปราบปรามโดยกองกำลังของมูรัด พาชา ท้ายที่สุดคาเลนเดโรกลูได้หลบหนีไปยังเปอร์เซีย จากนั้นมูรัด พาชาจึงปราบปรามการกบฏขนาดเล็กในบริเวณอนาโตเลียตอนกลาง และกำราบผู้นำคนอื่น ๆ ของพวกเซลารีด้วยการเชิญให้พวกเขาให้มารับราชการในกองทัพ[6]

เนื่องจากความรุนแรงของกบฏเซลารีได้แพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนจำนวนมากได้หนีออกจากหมู่บ้านของตน และมีหมู่บ้านหลายแห่งถูกทำลาย ผู้นำทหารบางรายได้อ้างสิทธิ์ว่าหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของตน ทำให้รัฐบาลขาดรายได้จากการเก็บภาษี ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1609 สุลต่านอาเหม็ดทรงออกเอกสารรับรองสิทธิ์ของราษฎรผู้ลี้ภัยการกบฎมาจากภูมิลำเนาของตน จากนั้นพระองค์จึงเริ่มประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อนำผู้คนเหล่านี้กลับไปตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างอีกครั้ง[6]

สงครามออตโตมัน-ซาฟาวิด: สันติภาพและสงครามครั้งใหม่

คำแปลสองภาษา (ฝรั่งเศสและตุรกี) ของข้อสรุปฝรั่งเศส-ออตโตมัน ที่ตกลงกันระหว่างสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 และพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ใน ค.ศ. 1604 ตีพิมพ์โดยฟร็องซัว ซาเวลี เดอ เบอรเวส เมื่อ ค.ศ. 1615[7]

นาชู พาชา ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาเสนาบดีคนใหม่ ไม่ต้องการที่จะทำสงครามกับฝ่ายซาฟาวิดต่อไป พระเจ้าชาห์อับบาสมหาราช เองก็ทรงส่งพระราชสาสน์มาว่าพระองค์ต้องการที่จะลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อยุติสงครามเช่นกัน ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1612 สนธิสัญญานาชู พาชา ได้รับการลงนาม โดยมีเงื่อนไขว่า พระเจ้าชาห์อับบาสจะต้องส่งผ้าไหมจำนวน 200 ทบ ไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นประจำทุกปี ดินแดนทั้งหมดที่จักรวรรดิออตโตมันได้มาระหว่างสงครามเมื่อคราว ค.ศ. 1578–1590 กลับไปเป็นของเปอร์เซีย และทำให้พรมแดนกลับไปมีขนาดเท่ากับพรมแดนใน ค.ศ. 1555[6]

ทว่าสันติภาพก็มาสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1615 เมื่อพระเจ้าชาห์อับบาสทรงไม่ส่งผ้าไหมจำนวน 200 ทบมาให้อย่างที่ตกลงไว้ ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1615 มหาเสนาบดีโอคูซ เมห์เหม็ด พาชา ได้รับมอบหมายให้เตรียมการโจมตีเปอร์เซีย เขาเลื่อนเวลาโจมตีออกไปเป็นปีถัดมา ทำให้ฝ่ายซาฟาวิดมีเวลาเตรียมตัวและเข้าโจมตีกันจาได้ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1616 โอคูซ พาชา ออกเดินทางจากอะเลปโปพร้อมกองทัพขนาดใหญ่และเดินทัพไปยังเยเรวาน แต่เขาก็ไม่สามารถยึดเมืองได้และต้องล่าถอยไปยังแอร์ซูรุม โอคูซ พาชาจึงถูกถอดออกจากตำแหน่ง และถูกแทนที่โดยดามัต ฮาลี พาชา (Damat Halil Pasha) ฮาลี พาชาเดินทางไปยังดียาร์เบกีร์ในฤดูหนาว ในขณะที่คานิเบ็ค กิเรย์ ข่านแห่งไครเมีย ทำการโจมตีบริเวณกันจา นากชิวาน และ จูลฟา[6]

การพระราชทานสิทธิพิเศษแก่ชาวต่างประเทศ และสนธิสัญญาทางการค้า

สุลต่านอาเหม็ดที่ 1 ทรงทำการต่อสนธิสัญญาการค้ากับอังกฤษ ฝรั่งเศส และเวนิส และทรงทำสนธิสัญญาทางการค้าฉบับแรกกับสาธารณรัฐดัตช์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1612 นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ขยายสิทธิพิเศษ ที่พระราชทานให้แก่ฝรั่งเศส ให้ครอบคลุมไปถึงพ่อค้าชาวสเปน รากูซา เจนัว อังโกนา และฟลอเรนซ์ด้วย โดยพ่อค้าจากชาติเหล่านี้สามารถเข้ามาทำการค้าขายได้โดยการใช้ธงฝรั่งเศส[6]

พระราชกรณียกิจด้านสถาปัตยกรรมและการศาสนา

ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก
แผ่นจารึกของสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 ที่มัสยิดอันนะบะวี แสดงตำแหน่งของประตูบับ อัล-ทอว์บา (Bab al-Tawba)

สุลต่านอาเหม็ดที่ 1 ทรงเป็นผู้สร้างมัสยิดสีฟ้า ซึ่งถือกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมเอก (Magnum opus) ของสถาปัตยกรรมออตโตมัน[ต้องการอ้างอิง] โดยตั้งอยู่ตรงข้ามกับฮาเกียโซเฟีย สุลต่านอาเหม็ดเสด็จไปในพิธีเริ่มการก่อสร้างพร้อมกับอีเต้อ (Pickaxe) ทองคำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงการเริ่มก่อสร้างมัสยิด เหตุวุ่นวายเกือบจะเกิดขึ้นเมื่อพระองค์ทรงพบว่ามัสยิดสีฟ้ามีจำนวนหออะซาน (Minarets) เท่ากับจำนวนหออะซานของมัสยิดใหญ่ประจำมักกะฮ์ ทำให้พระองค์กริ้วและเสียพระทัยเป็นอันมาก จนกระทั่งชีกห์-อัล-อิสลาม (Shaykh al-Islām: ตำแหน่งเทียบเท่าจุฬาราชมนตรี) ถวายคำแนะนำให้พระองค์ทรงสร้างหออะซานที่มัสยิดใหญ่ประจำมักกะฮ์เพิ่มอีกหนึ่งหอ เหตุการณ์จึงคลี่คลายลง

มัสยิดสีฟ้า

สุลต่านอาเหม็ดทรงมีส่วนร่วมอย่างมากในการบรูณะใหญ่ครั้งที่สิบเอ็ดของกะอ์บะฮ์ซึ่งเสียหายจากการถูกน้ำท่วม พระองค์ทรงส่งช่างฝีมือจากคอนสแตนติโนเปิลไปทำการซ่อมแซมรางน้ำทองคำ ซึ่งช่วยไม่ให้น้ำฝนกักขังอยู่บนหลังคาของกะอ์บะฮ์ นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์ยังมีการนำตะข่ายเหล็กไปติดไว้ในบ่อซัมซัมที่นครเมกกะ โดยติดตั้งไว้ลึกจากระดับผิวน้ำ 3 ฟุต การติดตั้งตะข่ายนี้เป็นผลมาจากที่มีเหล่าผู้สติไม่สมประกอบกระโดดลงไปในบ่อ โดยพวกเขาเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการตายเยี่ยงวีรบรุษ

ในเมดีนา นครของพระศาสดามุฮัมมัด แท่นเทศน์อันใหม่ซึ่งทำจากหินอ่อนสีขาวที่ทำในเมืองคอนสแตนติโนเปิลถูกนำมาตั้งในมัสยิดอันนะบะวีแทนที่แท่นเทศน์เดิมที่ทรุดโทรมลง นอกจากนี้ สุลต่านอาเหม็ดยังทรงสร้างมัสยิดเพิ่มอีกสองแห่งในย่านอึสคือดาร์ ในพื้นที่ฝั่งเอเชียของคอนสแตนติโนเปิล ทว่าไม่มีมัสยิดหลังใดเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันเลย

สุลต่านอาเหม็ดที่ 1 ทรงมีเครื่องยอด (Crest) ที่แกะสลักเป็นรูปรอยเท้าของนบีมุฮัมมัด ซึ่งพระองค์จะทรงฉลองเครื่องยอดนี้ทุกวันศุกร์และวันรื่นเริงต่าง ๆ การกระทำของพระองค์นับเป็นแบบอย่างของการแสดงความนอบน้อมต่อพระศาสดามากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ออตโตมัน ข้างในเครื่องยอดนั้นบรรจุบทกวีที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น ความว่า:

"หากข้าสามารถสวมใส่เจ้าไว้ได้ตลอดเวลา ดั่งผ้าโพกหัว หากข้าสามารถพกพาเจ้าไว้บนศีรษะได้ตลอดเวลา ดั่งมงกุฎ รอยเท้าของพระศาสดามุฮัมมัด ซึ่งมีสัดส่วนที่งดงามหมดจดยิ่ง อาเหม็ดเอ๋ย ไปเถิด เชิญเจ้าไล้ใบหน้ากับฝ่าเท้าแห่งกุหลาบนั้นหนา"